ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าความนิยมของรถซีดาน ในฝั่งญี่ปุ่นในบ้านเราคงต้องยกให้กับ ฮอนด้า ซีวิค กับการเดินทางมาอย่างยาวนานและในบางรุ่นก็เป็นเหมือนดังทอง เช่น รุ่น 3 ประตู กับบางคันที่ราคาแพงกว่าตอนขายป้ายแดงเสียอีก
และอีกหนึ่งรุ่นที่ตอนนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ กับ Civic Fc เจเนอเรชั่นที่ 10 ที่เดินทางมาจนถึงปลายทางแล้วก่อนจะเปลี่ยนรุ่นใหม่และในหลายประเทศก็ได้เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายท่านอาจจะถูกใจแต่บางท่านก็รู้สึกว่าหน้าตาเรียบร้อยเกินไปและในเมื่อรุ่นใหม่กำลังจะเดินทางมาถึง แต่ในรุ่นเก่าก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
Civic Fc จะเป็นตำนานได้หรือไม่แต่ที่แน่ๆรถใหม่ก็ยังมีขายอยู่ แต่รถมือสองยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะด้วยอายุที่เหมาะสมและราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เริ่มต้นกันที่ 5 แสนกว่า ก็ได้ขับซีวิคกันแล้ว คู่แข่งในตลาดปีเดียวกัน Mazda 3 , Nissan Sylphy และ Toyota Corolla Altis ถ้าวัดกันที่หน้าตาก็ต้องยอมรับว่า ซีวิค ชนะแน่นอน เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้ง 1.8 ลิตร และ 1.5Turbo พร้อมทั้งของแต่งที่เพียบพร้อมในตลาด อะไหล่ต่างๆก็มีให้เลือก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าจะคุณจะหารถ ซีดาน มือสองในตลาด Civic ก็น่าจะเป็นตัวเลือกต้นๆ
Civic Fc ใหม่รุ่นที่ 10 ตัวถับซีดาน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่เปิดตัวในปี 2016 ด้วยการปรับโฉมครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างทั้งภายนอกภายใน และเป็นครั้งแรกกับการเปิดตัวเครื่อง L15B7 Turbo ที่ให้การขับขี่ที่ดีให้อัตราเร่งที่ดีเทียบเท่าเครื่อง 2.4 ลิตร แต่ประหยัดน้ำมันด้วย และยิ่งไปกว่านั้นหลายท่านก็นำไปปรับแต่งซึ่งทำได้ง่ายกว่าเครื่อง NA
เครื่องยนต์ Civic Fc มีให้เลือก 2 รุ่น
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
เครื่องยนต์รหัส R18Z1 เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT แทนที่ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ปรับจูนให้เติมน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดได้ถึงระดับ แก็สโซฮอลล์ E85
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ VTEC TURBO ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และต่อเนื่องแบบ Flat Torque ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งสามารถล็อกอัตราทดได้ 7 สปีด เมื่อกดปุ่มที่คันเกียร์ Paddle Shift หรือปรับเป็นโหมด Manual รองรับเชื้อเพลิงทางเลือกสูงสุด E20
ภายนอกของรุ่น 1.8 E ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ฮาโลเจน พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED เป็นรุ่นเดียวที่ไม่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้ามาให้ แต่จะดับไฟให้อัตโนมัติเมื่อดับเครื่องยนต์ ไฟตัดหมอกคู่หน้าถูกตัดออกไป ไม่มีไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง แต่จะใช้ไฟเลี้ยวบริเวณซุ้มล้อด้านหน้าแทน ขณะที่มือเปิดประตูเป็นแบบสีเดียวกับตัวรถ
รุ่น 1.8 E ติดตั้งล้ออัลลอยสีเงินแบบ 10 ก้าน ขนาด 215/55 R16 มาให้ นอกนั้นแล้วจะเหมือนกับรุ่นสูงกว่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟท้ายแบบ LED (แต่ไฟเบรกยังคงเป็นหลอดไส้ทุกรุ่น ซึ่งถ้าเป็นแบบ LED ก็น่าจะดูลงตัวกับชุดไฟท้ายมากกว่านี้) และช่องพลาสติกสีดำพร้อมแผงทับทิมสะท้อนแสงบริเวณกันชน
ขณะที่ห้องโดยสารภายในของรุ่น 1.8 E เป็นเพียงรุ่นเดียวที่ให้เบาะผ้า แต่ก็ถูกตกแต่งด้วยลายคาร์บอนเคฟล่าบริเวณกลางตัวเบาะ ให้ความสปอร์ตขึ้นมานิดนึง ขณะที่สีภายในห้องโดยสารจะขึ้นอยู่กับตัวถังภายนอก
พวงมาลัยแบบยูริเทน 3 ก้าน สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงไว้ด้านซ้าย วงพวงมาลัยออกแบบให้มีร่องกริปเพื่อความกระชับมือ มองผ่านพวงมาลัยเข้าไปเป็นมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล 3 ช่อง ซึ่งในรุ่นล่างจะเป็นหน้าจอแบบขาว-ดำ อ่านง่าย ชัดเจน ซึ่งส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบหน้าจอลักษณะนี้มากกว่าหน้าจอสีแบบ TFT ในรุ่นสูงกว่า
รุ่น 1.8 E ติดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth สำหรับการโทรศัพท์ได้ มีช่องเชื่อมต่อ USB ให้ 1 ตำแหน่งบริเวณใต้แผงคอนโซล ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 4 จุด
ขณะที่ฟีเจอร์เด่นของ Honda Civic อย่างระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมท (Engine Remote Start) ซึ่งจะได้กุญแจแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) ทำงานคู่กับปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electronic Parking Brake) พร้อมฟังก์ชั่น Auto Brake Hold ทั้งหมดนี้มีให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ไปจนถึงรุ่นท็อปสุด
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น 1.8 E ก็ถือว่าให้มาครบๆ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS รวมถึงเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทั้ง 5 ที่นั่ง
ในรุ่น 1.5 TURBO RS ซึ่งมีจุดแตกต่างจากรุ่น 1.8 E อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Full-LED ไม่ว่าจะเป็นไฟต่ำ-ไฟสูง ไฟเลี้ยว รวมถึงไฟตัดหมอก กระจกมองข้างติดตั้งไฟเลี้ยวมาให้ในตัว ด้านท้ายติดตั้งปลายต่อไอเสียแบบคู่ ชุดแต่งกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต สปอยเลอร์หลังแบบ Wing พร้อมไฟเบรกแบบ LED รวมถึงให้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ภายในของรุ่น RS ตกแต่งด้วยสีดำ เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้และหนังสังเคราะห์ ตัวเบาะนั่งฝั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่มีเซ็นเซอร์สำหรับระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนนั่งมาให้
พวงมาลัยในรุ่น RS เป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มด้วยวัสดุหนัง ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงไว้ทางซ้ายมือ แต่มีปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์และปุ่ม Swipe มาให้ ซึ่งปุ่มที่ว่านี้ใช้สำหรับเพิ่ม-ลดเสียง ซึ่งปุ่มเหล่านี้ยังใช้ควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ด้วย ด้านขวาเป็นปุ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
มาตรวัดความเร็วของรุ่น RS ใช้หน้าจอแบบ TFT ความละเอียดสูง ตกแต่งด้วยสีแดงเพิ่มความสปอร์ต แสดงมาตรวัดรอบแบบดิจิตอล สามารถเลือกแสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลาย
เครื่องเสียงในรุ่น RS เป็นแบบ Advanced Touch หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการสั่งงานด้วยระบบสัมผัสทั้งหมด โดยรุ่น RS ยังเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบนำทาง Navigator มาให้ ขณะที่คนใช้สมาร์ทโฟนระบบ iOS ก็สามารถเรียกใช้ฟังก์ชั่น Apple CarPlay
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น RS มีอุปกรณ์เพิ่มเติมจากรุ่น 1.8 E ได้แก่ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตา Honda LaneWatch ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่อยู่ในรุ่นใหญ่อย่าง Accord รวมถึงกล้องมองภาพด้านหลังสามารถปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
นอกจากนั้น รุ่น RS ยังเป็นเพียงรุ่นเดียวที่มีถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัยมาให้ ขณะที่รุ่นต่ำกว่าจะมีเฉพาะถุงลมนิรภัยคู่หน้าเท่านั้น
จึงไม่แน่แปลกใจเลยว่า Honda Civic FC ยังคงเป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในตลาดเพราะด้วยออฟชั่นที่มีมาให้แบบจัดเต็มการขับขี่ที่ดี อะไหล่ต่างๆหาง่าย ของแต่งในตลาดยังมีอีกเยอะ หน้าตาดูทันสมัย เท่านี้ก็เพียงพอที่จะยังอยู่ในความสนใจ
ข่าวฟีเจอร์

วิธีไหว้แม่ย่านางรถ พร้อมคาถา (2566) ใช้อะไรบ้าง ไหว้กี่โมงดี
เรื่องเด่น
ต่อใบขับขี่หมดอายุ หรือหาย 2566 ทำยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้าง
เรื่องเด่น
รวมรถยนต์ไฟฟ้า EV มือสอง ราคาถูก น่าซื้อที่สุดในปี 2023
รถยนต์ไฟฟ้า