7 เคล็ดลับดูแลรถยนต์คู่ใจให้อยู่ใช้งานได้ไปยาวๆ

เรื่องเด่น

7 เคล็ดลับดูแลรถยนต์คู่ใจให้อยู่ใช้งานได้ไปยาวๆ

รถยนต์นั้นถือเป็นยานพาหนะละเอียดอ่อนที่ต้องการวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ถึงจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่ากับเม็ดเงินทุกบาทที่เสียไป หากคุณซื้อรถมาในราคาที่แพงแต่กลับไม่รู้วิธีการดูแลรักษา รถยนต์ของคุณก็อาจเกิดปัญหาน่าปวดหัวอย่างเช่นอาการรถสตาร์ทไม่ติดหรือชิ้นส่วนภายในเสียหายได้โดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุให้ตัวรถอยู่กับคุณไปได้นาน ๆ เรามี 7 เคล็ดลับวิธีดูแลรถยนต์ดี ๆ มาฝากครับ

1.หมั่นดูแลรักษาความสะอาดรถอยู่เสมอ

เคล็ดลับในการดูแลรถยนต์ข้อแรกคือ คุณต้องหมั่นตรวจเช็กและรักษาความสะอาดของตัวรถอยู่เสมอ ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก เพราะความสกปรกคือต้นตอของปัญหาหลายอย่างที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น เช่น คราบแน่นฝังลึกที่อาจทำอันตรายต่อสีรถของคุณ เศษอาหารที่หกอาจดึงดูดสัตว์และแมลงให้เข้ามาทำรังหรือเข้าไปกัดสายไฟจนเสียหาย เป็นต้น ซึ่งการทำความสะอาดยังเป็นการตรวจเช็กสภาพรถคร่าว ๆ ว่ารถของเรามีอะไรที่เสียหรือบกพร่องบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราควรให้ความใส่ใจ เพราะปัญหาเล็ก ๆ ที่เรามองข้าม มักเป็นสาเหตุของปัญหาใหญ่โตที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังได้ 

2.ตรวจเช็กน้ำมันรถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

หากคุณจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน คุณควรเติมน้ำมันให้เต็มถังทุกครั้งก่อนจอด เพราะถังน้ำมันของตัวรถที่จอดนานมีสิทธิ์เป็นสนิมได้หากมีน้ำมันไม่เต็มถัง หรือถ้าคุณใช้รถเป็นประจำ คุณก็ควรเช็กปริมาณน้ำมันในถังเสมออย่าปล่อยให้น้ำมันในถังเหลือน้อยจนเกินไป หากคุณปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยจนใกล้หมดบ่อย ๆ อาจทำให้ปั๊มเชื้อเพลิงที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากตัวถังดูดอากาศปะปนเข้ามาด้วย ซึ่งมันจะส่งผลให้เครื่องยนต์มีอาการสะดุด สตาร์ทติดยาก เร่งไม่ขึ้น และทำให้ตัวปั๊มเชื้อเพลิงมีอายุการใช้งานที่สั้นลงอีกด้วย

 

ดูแลรถยนต์

 

3.ไม่เบรกรถกะทันหันบ่อย ๆ 

การขับรถเร็ว ๆ และเหยียบเบรกกะทันหันบ่อย ๆ เป็นพฤติกรรมการใช้รถที่ผิด เพราะนอกจากเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว มันยังเป็นการทำร้ายเครื่องยนต์และชิ้นส่วนภายในให้เกิดการสึกหรอขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเบรกที่หมดไวขึ้น ระบบเกียร์อัตโนมัติอาจมีปัญหา หรือการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ที่จะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติ ซึ่งเราสามารถแก้ไขพฤติกรรมการขับรถแบบผิด ๆ นี้ได้ ด้วยการขับรถให้มีความเร็วที่พอดี ใช้เบรกให้ถูกจังหวะ พร้อมฝึกควบคุมรถให้ชำนาญด้วยการผ่อนและเร่งอย่างเหมาะสม

4.หลีกเลี่ยงการบรรทุกของมากเกินไป

หากรถของคุณไม่ใช่รถกระบะหรือรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรทุกของในปริมาณมาก คุณก็ไม่ควรบรรทุกสัมภาระมากจนเกินไป เพราะนอกจากจะควบคุมรถลำบากและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้ว ช่วงล่างของรถที่รับน้ำหนักเกินความจำเป็นอาจเกิดความเสียหายขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพ สปริง ยางรถยนต์ ระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลัง ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ช่วงล่างของตัวรถเกิดการสึกหรอก่อนเวลา คุณก็ควรบรรทุกสัมภาระในปริมาณที่เหมาะสม ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลรถยนต์ที่เจ้าของรถทุกคนไม่ควรมองข้ามครับ

 

เคล็ดลับดูแลรถยนต์

 

5.ไม่ควรมองข้ามสัญญาณเตือนบนคอนโซลรถ

เป็นที่ทราบกันดีว่าบริเวณคอนโซลของตัวรถนั้น จะมีสัญญาณเตือนคอยสว่างโชว์ให้เราเห็นอยู่เสมอเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับระบบต่าง ๆ ของตัวรถ สัญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าของรถไม่ควรมองข้าม เพราะมันเป็นเหมือนตัวช่วยที่จะทำให้คุณทราบถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นหากมีสัญญาณเตือนใด ๆ สว่างขึ้นมา เจ้าของรถจึงจำเป็นต้องรีบตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นทันที อย่าละเลย อย่ามองข้ามเป็นอันขาด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ได้โดยตรง

6.ใช้ผ้าคลุมรถเสมอเมื่อต้องจอดรถทิ้งไว้

สภาพอากาศที่ไม่แน่นอนในแต่ละวันอาจเป็นสาเหตุของคราบสกปรกและรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นได้หากคุณต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแจ้ง การใช้ผ้าคลุมรถทุกครั้งที่จอด จึงนับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคการดูแลรถยนต์ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพราะผ้าคลุมรถสามารถป้องกันลม ฝน และขี้นกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รถของคุณดูใหม่และปราศจากคราบสกปรกแม้ต้องจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ถือเป็นตัวช่วยแสนรู้ใจที่เจ้าของรถทุกคนควรมีติดบ้านไว้

 

Car Care Tips that you should to know

 

7.หมั่นตรวจเช็กแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

แบตเตอรี่ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่เป็นดั่งหัวใจของตัวรถ เพราะมันทำหน้าที่กักเก็บและคอยจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพื่อให้ตัวรถสามารถทำงานได้อย่างที่มันควรจะเป็น หากแบตเตอรี่มีปัญหาตัวรถก็ไม่สามารถใช้งานได้ คุณจึงจำเป็นต้องหมั่นตรวจเช็กและคอยดูแลแบตเตอรี่รถให้มีสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ของรถที่จอดทิ้งไว้เป็นเวลานานยิ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากตัวแบตเตอรี่จะคายประจุไฟออกมาตลอดเวลาในช่วงที่เราไม่ได้ขับ ทำให้ไฟในตัวแบตอ่อนลงเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเราปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพและไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด 


หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานานแล้วไม่มีเวลานำรถออกไปขับ คุณควรใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่คอยชาร์จไฟให้เต็มอยู่เสมอ เพราะแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่นานที่สุดก็ต่อเมื่อมีไฟเต็มอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

แท็กที่เกี่ยวข้อง


ข่าวฟีเจอร์

อยากได้ ‘รถมือสอง สภาพดี’ ดูที่ ‘รถตรวจสภาพแล้ว’ ใน one2car

อยากได้ ‘รถมือสอง สภาพดี’ ดูที่ ‘รถตรวจสภาพแล้ว’ ใน one2car

เรื่องเด่น
ดูรถมือสองไม่เป็น แต่อยากได้รถมือสอง สภาพดี ลองไปที่ฟีเจอร์ “รถตรวจสภาพแล้ว” ใน one2car สิ ดูได้หมดเลยนะว่าตรวจอะไรไปบ้าง ละเอียดยิบ! ...
ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส (TPIS) โบรกเกอร์ประกันคุณภาพ บริการครบจบโดยผู้เชี่ยวชาญ

ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส (TPIS) โบรกเกอร์ประกันคุณภาพ บริการครบจบโดยผู้เชี่ยวชาญ

ข่าววงการรถยนต์
อยากได้ประกันรถยนต์ที่ไว้ใจได้ คุ้มครองครอบคลุมตรงกับการใช้รถยนต์ ตรีเพชรอินชัวรันส์เซอร์วิส โบรกเกอร์ประกันคุณภาพ ...
ต่อใบขับขี่หมดอายุ ใบขับขี่หาย 2566 ทำยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้าง

ต่อใบขับขี่หมดอายุ ใบขับขี่หาย 2566 ทำยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้าง

เรื่องเด่น
บอกทุกขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 2566​ ทำยังไง แบบ 2 ปี เป็น 5 ปี กับแบบ 5 ปี เป็น 5 ปี ต่างกันตรงไหน ใช้เอกสารอะไรบ้าง ...

เเสดงความคิดเห็น

app-icon
app-icon
app-icon
ดูรถในฝันของคุณในแอป
ดาวน์โหลดแอปตอนนี้